การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย
|
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
|
|||
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
|
ช่วงระยะเวลา 500,000 – 1,500
ปีมาแล้ว
|
||
ยุคหิน
|
ช่วงระยะเวลา 500,000 – 4,000 ปีมาแล้ว
|
||
เครื่องมือเครื่องใช้และอื่น
ๆ
|
วิถีการดำเนินชีวิต
|
||
ยุคหินเก่า
|
เครื่องมือหินทำจากหินกรวดอาวุธทำจากหินอย่างง่ายๆเป็นเครื่องมือขุดและสับตัด
|
อยู่กันเป็นครอบครัวขนาดเล็กเร่ร่อนตามล่าฝูงสัตว์และเก็บพืชตามธรรมชาติอาศัยอยู่ในถ้าและเพิงผา
|
|
ยุคหินกลาง
|
เครื่องมือหินขนาดเล็กลงประณีตขึ้นเครื่องปั้นดินเผาผิวเกลี้ยง
|
อยู่รวมกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ยังเร่ร่อนตามแหล่งอาหารมีการประกอบพิธีฝังศพ
|
|
ยุคหินใหม่
|
เครื่องมือหินขัดสิ่วขวานเครื่องจักสานทอผ้าเครื่องปั้นดินเผา
|
อยู่รวมกันเป็นชุมชนเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์รู้จักค้าขายมีการแบ่งงานกันทำ
|
|
ยุคโลหะ
|
ช่วงระยะเวลา 4,000 – 1,500 ปีมาแล้ว
|
||
เครื่องมือเครื่องใช้และอื่น
ๆ
|
วิถีการดำเนินชีวิต
|
||
ยุคเหล็ก
|
สร้างเครื่องมือเครื่องใช้ทำจากสำริดภาชนะดินเผาตกแต่งสวยงามมีลวดลายระบายสีแดง
|
อยู่รวมกันเป็นชุมชนมีการปกครองมีความเชื่อมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
|
|
ยุคทองแดง
|
สร้างเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยเหล็กมีการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้หลากหลายประเภท
|
อยู่รวมกันเป็นเมืองบางเมืองพัฒนาเป็นอาณาจักรมีการค้าขายมีระบบการปกครอง
|
พัฒนาการของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนไทย
|
|
แหล่งโบราณคดี
|
ร่องรอย/หลักฐาน/ลักษณะสังคม
|
แหล่งโบราณคดีที่แม่ทะ
อำเภอแม่ทะจังหวัดลำปาง
|
พบเครื่องมือหินกะเทาะทำมาจากหินกรวดกำหนดอายุได้ประมาณ5ถึง4แสนปีมาแล้ว
|
แหล่งโบราณคดีถ้ำหลังโรงเรียน
อำเภอเมืองจังหวัดกระบี่
|
พบร่องรอยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ใช้เครื่องมือหินกะเทาะทั้งเครื่องมือแกนหินและเครื่องมือสะเก็ดหินอายุ 37,000-27,000
ปีการใช้เครื่องมือหินกะเทาะแบบฮัวบินเนียนอายุ 9,000-7,500 ปีพบภาชนะดินเผา 6,000-4,000 ปี
|
แหล่งโบราณคดีถ้ำหมอเขียว
อำเภอเมืองจังหวัดกระบี่
|
พบร่องรอยการอยู่อาศัยของคนหลายช่วงเวลามีการใช้เครื่องมือหินหลายลักษณะตั้งแต่ช่วง 2,500-4,000
ปี
|
แหล่งโบราณคดีถ้าผีแมนอำเภอปางมะผ้าจังหวัดแม่ฮ่องสอน
|
พบเครื่องมือหินแบบฮัวบินเนียนทำจากหินกรวดแม่น้ากำหนดอายุได้6,000ถึง9,000๐ปีมาแล้วพบหลักฐานของเมล็ดพืชจึงทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่ามีการเริ่มต้นเพาะปลูก
|
แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
บ้านเชียงสมัยต้น
|
อายุระหว่าง 4,300-3,000 ปีพบหลักฐานโครงกระดูกมนุษย์โบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับประเพณีฝังศพพบภาชนะเผาสีดำ-เทาเข้มตกแต่งลายเส้นและมีการพัฒนาภาชนะดินเผาจนระยะสุดท้ายพบภาชนะก้นกลมระบายสีแดงเรียกว่าภาชนะแบบบ้านอ้อมแก้ว
|
บ้านเชียงสมัยกลาง
|
อายุระหว่าง 3,000-2,300 ปีมาแล้วคนในยุคนี้เริ่มรู้จักทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ใช้โลหะทำเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับภาชนะดินเผาที่พบมีขนาดใหญ่มีการตกแต่งปากภาชนะด้วยการทำสีแดง
|
บ้านเชียงสมัยปลาย
|
มีอายุระหว่าง 2,300-1,800 ปีใช้เหล็กทำเครื่องมือเครื่องใช้แพร่หลาย
|
แหล่งโบราณคดีโนนนกทา
อำเภอภูเวียงจังหวัดขอนแก่น
โนนนกทาสมัยต้น
|
มีอายุระหว่าง 5,500-4,500 ปีรู้จักทำการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์รู้จักใช้สำริดทำเครื่องมือเครื่องใช้
|
โนนนกทาสมัยกลาง
|
มีอายุระหว่าง 4,500-1,800 ปีรู้จักเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์รู้จักใช้สำริดทำเครื่องมือเครื่องใช้ภาชนะดินเผามีหลายรูปแบบ
|
โนนนกทาสมัยปลาย
|
อายุ 1,000 ปีมาแล้วพบเครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยเหล็กและเครื่องมือเกษตรกรรม
|
แหล่งโบราณคดีบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรีจังหวัดกาญจนบุรี
|
พบร่องรอยของหมู่บ้านสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีอายุราว 4,000 ปีมีการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์มีภาชนะหลายรูปแบบ
|
แหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชรตาบลพนมทวนจังหวัดกาญจนบุรี
|
พบโครงกระดูกมนุษย์เครื่องมือเกษตรกรรมทำด้วยเหล็กและสำริดพบเคียวเกี่ยวข้าวและเมล็ดข้าวในเนื้อภาชนะดินเผามีอาชีพทำนาจับปลาล่าสัตว์
|
แหล่งโบราณคดีบ้านจันเสน
อำเภอตาคลีจังหวัดนครสวรรค์
|
พบภาชนะดินเผาวัตถุสำริดเครื่องมือเหล็กลูกปัดทำด้วยหินแก้วกระดูกชุมชนบ้านจันเสนพัฒนาเป็นเมืองรุ่นแรก
|
วัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนไทย
|
|
การเทียบศักราช
|
ถ้าเทียบ พ.ศ. เป็น ค.ศ. ให้นำ 543 ไปลบออกจาก พ.ศ. (พระพุทธเจ้าปรินิพพานก่อนพระเยซูประสูติ543 ปี โดยประมาณ) เช่น พ.ศ. 2310 ลบด้วย
543 จะได้ 1767 ก็ตรงกับ ค.ศ. 1767 ในทางตรงกันข้าม
การเทียบ ค.ศ. เป็น พ.ศ. ก็นำ 543 ไปบวก พ.ศ. เช่น 1767 + 543 = 2310 เป็นต้น
เราก็สามารถเทียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของทั่วโลกได้โดยเทียบศักราชกัน
ถ้าเทียบ จ.ศ. เป็น พ.ศ. ก็นำ 1181
ไปบวกกับ พ.ศ. เช่น จ.ศ. 243 + 1181 = 1424 ก็เป็น พ.ศ. 1424 ในทางตรงกันข้ามก็ลบ เช่น พ.ศ. 2557 – 1181 = 1376 ก็เป็น จ.ศ. 1376 เป็นต้น
ถ้าเทียบ ร.ศ. เป็น พ.ศ. ก็นำ 2325 ไปบวก เช่น ร.ศ. 200 + 2325 = 2525 เราก็ทราบว่า
กรุงเทพฯ ครบ 200 ปี เมื่อ พ.ศ. 2525 ในทางตรงกันข้าก็ลบ เช่น พ.ศ. 2557 – 2325 = 232 เราก็ทราบว่า
ปี พ.ศ. 2557 ตรงกับ ร.ศ. 232 กรุงเทพฯ
อายุครบ 232 ปี เป็นต้น (มีมหาศักราช หรือ ม.ศ.
ด้วยแต่ไม่นิยมใช้จึงไม่กล่าวถึง)
การนับเป็นศตวรรษ
ศตวรรษ แปลว่า ร้อยปี
มาจากภาษาสันสกฤตว่า ศต (ร้อย) + วรฺษ (ปี) การนับจะนับเมื่อครบ 100 ปี เป็น
1 ศตวรรษ
วิธีนับ คือ ศตวรรษที่х 100 – 99 ถึง
ศตวรรษที่ х 100 เช่น ศตวรรษที่ 10
( 10 х 100 = 1000 – 99
= 901 ถึง 10х 100 = 1000)ก็คือ ระหว่าง 901 – 1000 เป็นศตวรรษที่ 10ถ้าเป็น ค.ศ. จะเรียก
คริสต์ศตวรรษที่ 10 ถ้าเป็น พ.ศ. จะเรียก พุทธศตวรรษที่ 10
ยกอีกหนึ่งตัวอย่าง เช่น ศตวรรษที่
11 (11 х 100 = 1100 – 99 = 1001 ถึง 11 х
100 = 1100)ก็คือ ระหว่าง 1001 – 1100 เป็นศตวรรษที่ 11
อีกตัวอย่าง (กลัวไม่เข้าใจ)
ศตวรรษที่ 2 (2 х 100 =
200 – 99 = 101 ถึง 2 х 100 = 200) ก็คือ
ระหว่าง 101 – 200 เป็นศตวรรษที่ 2
เวลาเขียนเป็นฝรั่งหรือภาษาอังกฤษเขาจะเติมตัว
s
ไว้หลัง เช่น ศตวรรษที่ 17 จะเป็น 1700s เป็นต้น
การนับเป็น ทศวรรษ
ทศวรรษ
แปลว่า สิบปี มาจากภาษาสันสกฤตว่า ทศ (สิบ) + วรฺษ (ปี) เมื่อครบ 10 ปี จะเป็น 1
ทศวรรษ
การนับแบบ ทศวรรษ นี้ นิยมใช้เฉพาะใน
ค.ศ. หรือคริสต์ศักราชของฝรั่ง ไม่นิยมใช้ในศักราชอื่น ๆ การนับจะนับช่วง 10 ปี
เช่น ค.ศ. 1920 – 1929 เรียกว่า ทศวรรษที่ 1920 เวลาเขียนจะเติม s
ต่อท้าย เป็น 1920s
เป็นต้น
|
ข้อคิด
|
ความจริงแล้วศักราชต่าง ๆ ไม่ตรงกันเลย เช่น ถ้าจะนับ พ.ศ. จริง ๆ
ก็ต้องนับในวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานครบปีนั้น ๆ ในวันวิสาขบูชา
ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15
ค่ำ เดือน 6
ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม
ถ้า ค.ศ. ต้องนับในวันพระเยซูประสูติ ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม (วันคริสต์มาส)
ประชาชนทั่วโลกจึงตกลงกันเอาวันที่ 1
มกราคม ของทุก ๆ ปี
เป็นวันเริ่มปีใหม่เพื่อให้ศักราชตรงกันทั้งโลก เช่น ปี ค.ศ. 2014 จริง ๆ แล้วครบรอบในวันที่ 25 ธันวาคม
ปี พ.ศ. 2557 ครบรอบแล้วตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะเห็นว่าสมัยก่อนวันขึ้นปีใหม่ในแต่ละชนชาติจะไม่เหมือนกัน
ของไทยเราเป็นวันสงกรานต์ ก็คือ จ.ศ. นั่นแหละ ประมาณกลางเดือนเมษายน
เป็นวันขึ้นปีใหม่ ของจีนก็เป็นวันตรุษจีน เป็นต้น
เหตุที่เอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่
การนับวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปี
ก็เอามาจากฝรั่งเช่นกัน (เพราะฝรั่งชาติตะวันตกมีอิทธิพลเหนือชาติอื่น ๆ ในโลก มีมุสลิมบ้างที่ไม่ค่อยก้มหัวให้ฝรั่ง)
ชาวตะวันตกชาติแรกที่เอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ คือ ชาวโรมันโบราณ
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อ 713 ปี ก่อนพระเยซูคริสต์ประสูติ จักรพรรดิโรมันนามว่า Numa
Pompiliusได้สร้างปฏิทินมาให้ชาวโรมันใช้กัน
โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะสมัยนั้นชาวโรมันสังเกตเห็นว่า
ช่วงเวลานี้กลางคืนยาวมากกว่าช่วงเวลาอื่น
(ความจริงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ช่วงนี้ดวงอาทิตย์อยู่จากเส้นศูนย์มาก
ในยุโรปช่วงนี้กลางคืนจะยาวจริง ๆ เนื่องจากดวงอาทิตย์คล้อยลงมาทางขั้วโลกใต้
บางประเทศ เช่น ฟินแลนด์ จะไม่เห็นดวงอาทิตย์เลยตลอด 6 เดือน– เรียกช่วงนี้ว่า Winter
solstice) ชาวโรมันโบราณกลัวว่าดวงอาทิตย์จะไม่กลับมาอีกตลอดกาล
จึงไปอ้อนวอนเทพเจ้า “เจนัส” (God Janus)ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นเทพถือกุญแจท้องฟ้าให้ประทานดวงอาทิตย์กลับคืนมา
พอดวงอาทิตย์กลับมาตามปกติของมัน พวกเขาเชื่อว่าเป็นเพราะเทพเจ้าเจนัสประทานมาให้
จึงเฉลิมฉลองกัน และเพื่อให้เกียรติแก่เทพเจ้าเจนัส จึงตั้งวันที่ 1 ซึ่งเป็นวันแรกของเดือน
Januaryซึ่งมีรากศัพท์มา Janus
นั่นแหละเป็นวันขึ้นปีใหม่
อย่างที่เราทราบแล้วว่า อารยธรรมโรมันนี้มีอิทธิพลต่อฝรั่งชาติตะวันตกเป็นอย่างมาก
ก็จึงเอาวันที่ 1 เดือน January เป็นวันเริ่มต้นปีตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเกิดลัทธิล่าอาณานิคมและลัทธิทุนนิยมของฝรั่งกระจายไปทั่วโลก
วัฒนธรรมนี้จึงแพร่กระจายไปทั่วโลก
|